RSV ในเด็ก คืออะไร อันตรายแค่ไหน คุณพ่อคุณแม่ควรรู้และเฝ้าระวัง!!
- regagar
- 18 minutes ago
- 2 min read
ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เชื้อไวรัสหลายชนิดมักแพร่ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หนึ่งในโรคที่คุณพ่อคุณแม่ได้ยินบ่อยในช่วงนี้คือ RSV ในเด็ก โรคที่อาการอาจเริ่มต้นคล้ายกับ “ หวัดธรรมดา ” แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทันสังเกต อาจลุกลามจนเป็นปอดบวม หรือหลอดลมอักเสบได้ และท้ายที่สุดอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จัก RSV ในเด็ก ตั้งแต่สาเหตุ อาการ อันตราย การรักษา วิธีดูแล ไปจนถึงการป้องกัน เพื่อให้พร้อมเฝ้าระวังและปกป้องลูกน้อยได้อย่างถูกต้อง
RSV ในเด็ก คืออะไร
RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง มักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาว เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงเท่ากับผู้ใหญ่มากนัก ซึ่ง RSV มักทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) และ ปอดอักเสบ (Pneumonia) นอกจากจะเสี่ยงมากๆ ในเด็กเล็กแล้ว RSV นั้น ก็ยังสามารถติดเชื้อในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน แต่อาการมักจะไม่รุนแรง ทั้งนี้ผู้สูงอายุ ก็มีความเสี่ยงสูงเหมือนกับเด็กเล็กเช่นกัน

เชื้อ RSV แพร่กระจายได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือแม้แต่การไอจาม
ติดต่อโดยตรง : อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไอหรือจาม
ติดต่อทางอ้อม : สัมผัสของเล่น ลูกบิดประตู หรือสิ่งของที่มีเชื้อ จากนั้นนำมือมาสัมผัสตา จมูก หรือปาก
โดยระยะฟักตัวของ RSV ประมาณ 2–8 วัน และนี่ก็คือเหตุผลที่เด็กเล็กในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล มักติดต่อกันง่ายนั่นเอง
อาการของ RSV ในเด็ก
อาการของ RSV ในเด็กอาจเริ่มต้นเหมือนกับ “ ไข้หวัดธรรมดา ” ทำให้หลายครอบครัวไม่ทันสังเกต แต่สิ่งที่ควรใส่ใจคือ โรคนี้สามารถลุกลามได้เร็ว โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็ก
อาการระยะแรก : คล้ายหวัด
มีไข้ต่ำ ๆ
น้ำมูกไหล
ไอเล็กน้อย
เจ็บคอ ปวดหัว
เบื่ออาหาร ดื่มนมน้อยลง

อาการรุนแรงขึ้น : ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด และควรพบแพทย์ทันที
ไอมาก ไอรุนแรง หอบ เหนื่อย
หายใจแรง มีเสียงครืดคราด (เสียงเสมหะในปอด)
หายใจเร็ว หน้าท้องบุ๋ม ปีกจมูกบาน
ปากหรือปลายมือ ปลายเท้า เริ่มมีสีเขียวคล้ำ
ไม่กินนมหรือน้ำ
RSV ในเด็ก อันตรายแค่ไหน
แม้เด็กหลายๆ คนที่ติดเชื้อ RSV จะหายเองได้ แต่ในบางราย โดยเฉพาะ เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เด็กคลอดก่อนกำหนด และเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจ หรือปอด หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ อาจจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้

หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) : ส่งผลให้เด็กหายใจลำบากมาก
ปอดบวม (Pneumonia) : เสี่ยงต้องนอนโรงพยาบาล
หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media) : หากการติดเชื้อแพร่กระจายไวรัสไปยังหลังแก้วหู เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการหูน้ำหนวกได้
โรคหอบหืด : ในเด็กที่ติดเชื้อ RSV อาจส่งในต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้อนาคต
ภาวะพร่องออกซิเจน หรือภาวะหายใจล้มเหลว : อันตรายถึงชีวิต หากไม่ได้รับออกซิเจนช่วยได้ทันเวลา
การดูแลรักษา RSV ในเด็ก
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อ RSV โดยตรง การรักษาจึงเน้นไปที่การดูแลตามอาการและให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อเอง สำหรับในกรณีที่อาการไม่รุนแรง คุณแม่สามารถดูแลที่บ้านได้ตามที่คุณหมอวินิจฉัย โดยคุณพ่อคุณแม่ควรทำดังนี้

ให้ยาลดไข้ หากมีไข้สูง
ให้ลูกพักผ่อนเพียงพอ
ให้ดื่มน้ำ หรือดูดนมบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
หมั่นวัดไข้และเฝ้าสังเกตอาการหอบเหนื่อย
ทำให้เด็กหายใจสะดวก ซึ่งเด็กเล็กมักจะมีอาการของหลอดลมตีบ มีเสมหะเหนียวข้นมาก อาจจะต้องทำการพ่นยา หรือต้องมีการดูดน้ำมูก หรือใช้น้ำเกลือล้างจมูก
โดยทั่วไป เด็กที่ติดเชื้อ RSV จะมีอาการนานประมาณ 1–2 สัปดาห์ และส่วนใหญ่จะหายเอง แต่หากลูกเริ่มมีอาการหายใจลำบาก ไม่กินนม ไข้สูงต่อเนื่อง หายใจมีเสียงหวีดๆ หน้าซีด ปากเขียว ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่ออยู่ให้คุณหมอวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที
วิธีการป้องกันลูกน้อยจาก RSV
แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน RSV ที่ใช้กับเด็กทั่วไป แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถลดความเสี่ยงได้ดังนี้

ให้ลูกน้อยล้างมือบ่อยๆ ไม่ว่าจะจับสิ่งใดก็ตาม รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ก็ควรล้างมือเสมอก่อนสัมผัสลูกน้อย
ทำความสะอาดของเล่น ของใช้เป็นประจำ
หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้คนที่มีอาการไอจาม
หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดช่วงที่มีการระบาด
สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องพาลูกออกนอกบ้าน
ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ลดการติดเชื้อ หรือลดความรุนแรงในการเจ็บป่วยลงได้ โดย - เด็กแรกเกิด – 12 เดือน ฉีด 1 เข็ม
- เด็กอายุ 12 – 24 เดือน ฉีด 2 เข็ม
และควรฉีดปกป้องก่อนถึงฤดูกาลระบาด คือช่วงประมาณเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ของทุกปี โดยการฉีดภูมิคุ้มกันนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RSV ในเด็ก
Q : RSV ในเด็กหายเองได้ไหม ?
A : เด็กส่วนใหญ่หายได้เองภายใน 1–2 สัปดาห์ แต่ควรเฝ้าสังเกตอาการใกล้ชิด
Q : RSV ต่างจากไข้หวัดใหญ่ยังไง ?
A : RSV มักทำให้มีเสมหะมาก หายใจครืดคราด และเสี่ยงปอดอักเสบในเด็กเล็ก ขณะที่ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้สูง ปวดเมื่อยร่างกาย
Q : RSV ระบาดช่วงไหน ?
A : มักระบาดในฤดูฝนต่อเนื่องถึงฤดูหนาว (ประมาณเดือนสิงหาคม–กุมภาพันธ์)
Q : ลูกเคยติด RSV แล้ว จะติดซ้ำได้ไหม ?
A : ได้ เชื้อนี้สามารถติดซ้ำได้ตลอดชีวิต แต่เด็กโตขึ้นอาการมักไม่รุนแรง
RSV ในเด็ก เป็นโรคที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะแม้อาการเริ่มต้นจะคล้ายหวัด แต่สามารถลุกลามจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะในทารกและเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง
การเฝ้าระวัง สังเกตอาการ และพาลูกไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญในการลดความรุนแรงของโรคนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด “ การป้องกัน ” คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยจาก RSV
Comments