คนท้องติด RSV อันตรายแค่ไหน ส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรู้!!
- regagar

- Oct 9
- 1 min read
ช่วงการตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ต้องใส่ใจสุขภาพตัวเองมากเป็นพิเศษ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณแม่สามารถส่งผลต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ หนึ่งในเชื้อไวรัสที่มักถูกพูดถึงบ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวช่วงนี้ก็คือ RSV (Respiratory Syncytial Virus) ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นได้ โดยเฉพาะคนท้องก็มีความเสี่ยงติดเชื้อนี้สูงมากเช่นกัน

บทความนี้ เราจะอธิบายให้คุณแม่ตั้งครรภ์เข้าใจว่า RSV คืออะไร อาการที่ควรระวัง ความเสี่ยงต่อทารก และวิธีป้องกันตัวเองอย่างปลอดภัยทำได้อย่างไรบ้าง พร้อมแล้วไปดูกันเลย
RSV คืออะไร ทำไมต้องระวัง
RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ ตั้งแต่ระดับเบาไปจนถึงรุนแรง เชื้อ RSV ติดต่อกันได้ง่าย ผ่านทางการหายใจ เช่น ไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน
อาการทั่วไปของ RSV
ไอ มีเสมหะ
น้ำมูกไหล คัดจมูก
เจ็บคอ มีไข้ต่ำ
ในบางรายอาจหายใจลำบาก หรือมีเสียงวี้ด ๆ ในอก
ในเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ RSV อาจรุนแรงจนทำให้ หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ แต่ในผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรง มักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา

อาการ RSV ที่เกิดกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ควรระวัง
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรสังเกตอาการต่อไปนี้ เพราะเป็นสัญญาณว่าอาจติดเชื้อ RSV
ไอมีเสมหะเหนียว
น้ำมูกไหลหรือคัดจมูกเรื้อรัง
ไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
หายใจหอบเหนื่อย หรือรู้สึกแน่นหน้าอก
รู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ
คำแนะนำ : หากพบอาการหายใจลำบากหรือไข้สูง ควรรีบพบแพทย์ทันที
ผลกระทบของ RSV ต่อคนท้อง
คุณแม่ที่ตั้งครรภ์เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV อาจดูเหมือนจะมีอาการคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่รู้หรือไม่ว่ามีความเสี่ยงมากกว่านั้น คือ เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ง่าย
ปอดบวม ซึ่งเป็นได้สูงกว่าคนทั่วไป
ครรภ์เป็นพิษ
อาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด

ผลกระทบของ RSV ต่อทารกในครรภ์
ข่าวดีคือ RSV ไม่สามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์โดยตรง แต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นคือ ผลทางอ้อมจากการที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการเจ็บป่วย
ไข้สูง : การมีไข้บ่อย ๆ อาจกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารก
ขาดออกซิเจน : หากแม่หายใจลำบากหรือปอดอักเสบ อาจทำให้ลูกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ร่างกายอ่อนแอ : การเจ็บป่วยรุนแรงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
ดังนั้น ถึงแม้ RSV ไม่ส่งผลโดยตรงต่อทารก แต่การดูแลสุขภาพแม่อย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งจำเป็น
การรักษา RSV สำหรับคนท้อง
ปัจจุบัน ยังไม่มีตัวยาเฉพาะสำหรับ RSV การรักษาจะเป็นแบบ ประคับประคอง ได้แก่
พักผ่อนให้เพียงพอ
ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
ยาลดไข้หรือยาแก้ไอ (ใช้ตามคำแนะนำแพทย์)
หากอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก แพทย์อาจให้การรักษาในโรงพยาบาล
ข้อสำคัญ : อย่าใช้ยาต่าง ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์
การป้องกัน RSV สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ปัจจุบันคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถฉีดวัคซีนป้องกัน RSV ได้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ภูมิคุ้มกันนี้จะส่งผ่านทางรกไปยังทารกในครรภ์ได้อีกด้วย โดยช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถฉีดวัคซีนได้คือ ช่วงอายุครรภ์ 24–36 สัปดาห์ ซึ่งจะพบได้ว่าการฉีดวัคซีน RSV ให้กับคุณแม่ท้องนั้น จะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรงในทารกแรกเกิด ไปจนถึงอายุ 3 เดือน ได้สูงถึง 82%

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน
ปวดบวม แดง ร้อน บริเวณที่ฉีด
ปวดศีรษะ
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ทั้งนี้การฉีดวัคซีนสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนใดก็ตาม ต้องปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ
การป้องกัน RSV อื่นๆ นอกเหนือจากวัคซีน
เนื่องจาก RSV ติดต่อได้ง่าย การป้องกันคือสิ่งสำคัญที่สุด

หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด – โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาด
ล้างมือบ่อย ๆ – ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
สวมหน้ากากอนามัย – ทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
หลีกเลี่ยงการสัมผัสคนป่วย – ไม่ใกล้ชิดผู้ที่ไอ จาม น้ำมูกไหล
เสริมภูมิคุ้มกัน – กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนเพียงพอ
เคล็ดลับเพิ่มเติม : หากมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน ควรเฝ้าระวังอาการ RSV ของเด็ก และแยกของใช้ส่วนตัวเพื่อลดความเสี่ยง
RSV เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่คนท้องก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แม้เชื้อจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ แต่ การติดเชื้อรุนแรงของแม่อาจกระทบต่อการเจริญเติบโตและออกซิเจนของลูกได้ การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีและระวัง RSV จะช่วยให้ทั้งแม่และลูกปลอดภัยตลอดการตั้งครรภ์
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : โดย ผศ.นพ. สมมาตร บำรุงพืช สูติแพทย์เฉพาะทาง ด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล



Comments